รายงานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ครั้งที่ 3/2564
ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
ระเบียบวาระที่ 1 เรื่องประธานแจ้งให้ที่ประชุมทราบ
ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุม
ระเบียบวาระที่ 2.1 เรื่องรับรองรายงานการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ครั้งที่ 2/2564
คณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ได้มี การประชุมครั้งที่ 2/2564 เมื่อวันที่
8 มีนาคม 2564 ต่อมาฝ่ายเลขานุการฯ ได้จัดทํารายงานการประชุม และแจ้งเวียนให้กรรมการพิจารณาเรียบร้อยแล้ว โดยมีกรรมการขอแก้ไขรายงานการประชุม ดังนี้
1. ระเบียบวาระที่ 2 เรื่องรับรองรายงานการประชุมคณะกรรมการฯ ครั้งที่ 1/2564 ขอแก้ไขข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของที่ประชุมในระเบียบวาระที่ 3.1 ข้อ 2) ควรมีการติดตามและ ประเมินผลการดําเนินงานของหน่วยบริหารและจัดการทุนทั้ง 7 หน่วยงาน ก่อนการแยกหน่วยบริหารและ จัดการทุนเฉพาะด้าน (PMU ABC) ออกจาก สอวช. โดยให้ความสําคัญกับหลักการความรับผิดชอบ (Accountability) ความเป็นอิสระในการบริหารจัดการ (Autonomy) และมีการบริหารจัดการผลประโยชน์ ทับซ้อน (Conflict of Interest) รวมทั้งหลักความคุ้มค่าในการดําเนินงานในหน่วยงานที่เสนอจัดตั้งใหม่ ซึ่ง ต้นทุนในการจัดตั้งองค์กรใหม่ใช้งบประมาณอย่างน้อย 20 ล้านบาท
2. ระเบียบวาระที่ 3.1 ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของที่ประชุม ดังนี้
5) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพของประเทศ ควรดําเนินการให้สอดคล้อง กับนโยบายและยุทธศาสตร์ชาติ และตอบโจทย์ประเด็นการพัฒนาประเทศ เช่น อุตสาหกรรม S-Curve, อุตสาหกรรม BCG, Sustainable Development Goals (SDG), และ Digital Society เป็นต้น ทั้งนี้ ควรคํานึงถึงขีดความสามารถในการแข่งขัน ความคุ้มค่าในการลงทุน ความยั่งยืน (Sustainability) และวิธีการ ตรวจสอบความต้องการสินค้าในตลาดบัญชีนวัตกรรมไทย ซึ่งจะต้องเชื่อมโยงและนําไปสู่การพัฒนารูปแบบ การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจใหม่ (New Growth Model) โดย ประเทศไทยควรผลักดันการกําหนดมาตรฐานสินค้าและบริการที่เป็นจุดแข็งให้ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เช่น สินค้าเกษตร อาหาร สมุนไพร เป็นต้น
6) ควรปฏิรูประบบ NQI ในเชิงโครงสร้าง กฎหมาย และกลไกการบริหารจัดการ เพื่อ ลดความทับซ้อนหรือการทํางานที่มีลักษณะเป็น Silo โดยกําหนดให้มีหน่วยงานรับผิดชอบที่ชัดเจน มีการบูรณาการ การทํางานร่วมกันระหว่างกระทรวงฯ และการสร้างความเชื่อมโยงกับภาคเอกชน รวมถึงต้องกําหนดเป้าหมาย และทิศทางในการพัฒนาระบบ NQI ของประเทศ โดยมีการวางแผนการลงทุนทั้งในระยะสั้น ระยะกลาง และ ระยะยาว ที่มีความชัดเจนเหมาะสมกับบริบทการพัฒนาในปัจจุบันและรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต ทั้งนี้ หากไม่มีการ Re-design หน่วยงานในระบบที่มีอยู่ในปัจจุบัน แต่มีการตรากฎหมาย NQI หรือเสนอจัดตั้ง หน่วยงานใหม่ จะทําให้เกิดความซ้ําซ้อนของกฎหมายเพิ่มขึ้น และไม่สามารถแก้ปัญหาของหน่วยงานที่มีใน ระบบเดิมได้
มติที่ประชุม รับรองรายงานการประชุม ครั้งที่ 2/2564
ระเบียบวาระที่ 3 เรื่องเพื่อเสวนา
ระเบียบวาระที่ 3.1 หลักเกณฑ์และตัวชี้วัดการประเมินประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการของสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.)
สํานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) โดย นางนันทนา ธรรมสโรช รองเลขาธิการ ก.พ.ร. นําเสนอสรุปประเด็นสําคัญจากการประชุมคณะกรรมการกํากับการประเมิน ประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการของสํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ในการประชุมครั้งที่ 1/2564 เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
1. คณะกรรมการฯ รับทราบความก้าวหน้าในการประเมินประสิทธิภาพและผล การปฏิบัติราชการของ วช. ระยะที่ 1 (รอบ 6 เดือน) ในปัจจุบัน (As-is) ซึ่งเป็นการประเมินการดําเนินงานที่ ครอบคลุมหน้าที่และอํานาจของ วช. ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562
2. กระบวนการประเมินในระยะที่ 2 (รอบ 12 เดือน) เป็นการประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) ครอบคลุมภารกิจหลักของ วช. 2 ประการ ได้แก่
1) การให้และบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม รวมถึงการนําไปใช้ประโยชน์ ตั้งแต่กระบวนการต้นน้ํา (Upstream) กลางน้ํา (Midstream) และปลายน้ํา (Downstream) เน้นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วม โดยจะพิจารณากรณีศึกษาการดําเนินงาน 2 กรณี ได้แก่ 1.1) แผนงานคนไทย 4.0 (เป็นแผนงาน spearhead ด้านสังคม ที่บริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมโดย วช.) และ 1.2) โครงการ ประเทศไทยในอนาคต หรือ Future Thailand (เป็นโครงการที่บริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมโดย หน่วยงานภายนอก) เพื่อวิเคราะห์วิธีการและศักยภาพการบริหารจัดการโครงการ รวมถึงวิเคราะห์เปรียบเทียบ ระหว่างโครงการที่ดําเนินการโดย วช. และดําเนินการโดยหน่วยงานภายนอก
2) การจัดทําฐานข้อมูลและระบบข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) 3. การประเมินควรให้น้ําหนักการประเมินประสิทธิภาพทรัพยากรบุคคล (Human Resource Efficiency) ในสถานะปัจจุบันและความเหมาะสมของทรัพยากรมนุษย์ต่อการดําเนินงานในอนาคต มูลนิธิบัณฑิตยสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (บวท.) โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สันติ เจริญพรพัฒนา นําเสนอการประเมินประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการของ วช. ดังนี้
1. แนวทางการประเมินประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการของ วช. เป็น การประเมินผลการดําเนินงานขององค์กรเพื่อนําไปสู่การยกระดับการดําเนินงาน (Evaluation for Transformation) แบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1) การประเมินประสิทธิภาพและผลการดําเนินงานใน ปัจจุบัน (Performance) ส่วนที่ 2) การประเมินเชิงลึก โดยประเมินจุดแข็ง จุดอ่อน และประเด็นแวดล้อมของ วช. ในการดําเนินภารกิจในสถานะปัจจุบัน (In-depth Process Review) และส่วนที่ 3) การวิเคราะห์กําหนด และออกแบบทางเลือก (Option) การปรับปรุงโครงสร้างและกลไกการบริหาร เพื่อสนับสนุนการดําเนินงาน ตามภารกิจและขับเคลื่อนระบบการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) อย่างมีประสิทธิภาพ (To-be)
2.หลักเกณฑ์หรือประเด็นการประเมินประกอบด้วย1)ประสิทธิภาพและประสิทธผิล (Efficiency & Effectiveness) 2) การปรับเปลี่ยนองค์กร (Organization Transformation) 3) การเรียนรู้ ขององค์กร (Organization Learning) 4) การประสานงานและความร่วมมือ (Coordination & Collaboration) 5) การสื่อสารต่อสังคมและสาธารณะ (Social and Public Communication) และ 6) แพลตฟอร์มข้อมูล และการเชื่อมโยงระบบข้อมูล (Data Platform & Connecting)
3. แนวทางการกําหนดตัวชี้วัดเพื่อการประเมินประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการ ของ วช. ซึ่งตัวชี้วัดต้องสอดคล้องกับกระบวนการทํางานหลักของ วช. และนําไปสู่การเรียนรู้ รวมถึงมีผล ย้อนกลับเพื่อพัฒนากระบวนการได้นอกจากนกี้ารประเมินตามตัวชี้วัดต้องสอดคล้องกับความพร้อมของข้อมูล ที่เกิดขึ้นจริง และผลการประเมินต้องนําไปสู่การเพิ่มขีดความสามารถในการทํางานของ วช. ทั้งในเชิงปริมาณ และเชิงคุณภาพ โดยประเภทของตัวชี้วัดและการวัดผล ประกอบด้วย 1) ตัวชี้วัดเพื่อประเมินผล (Evaluation) จํานวน 13 ตัวชี้วัด (มีข้อมูลครบถ้วน จํานวน 5 ตัวชี้วัด และอยู่ระหว่างรอข้อมูล จํานวน 8 ตัวชี้วัด) 2) ตัวชี้วัดเพื่อการติดตาม (Monitoring) จํานวน 8 ตัวชี้วัด (มีข้อมูลครบถ้วน จํานวน 2 ตัวชี้วัด และอยู่ ระหว่างรอข้อมูล จํานวน 6 ตัวชี้วัด) และ 3) การวัดเพื่อประเมินเชิงคุณภาพ จํานวน 14 ประเด็น (จะ ดําเนินการในระยะที่ 2)
4. การประเมินประสิทธิภาพและผลการปฏิบัติราชการของ วช. ครอบคลุมหน้าที่และ อํานาจของ วช. ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและ นวัตกรรม พ.ศ. 2562 ประกอบด้วย 7 ภารกิจ ได้แก่ 1) การให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม 2) การจัดทํา ฐานข้อมูลและดัชนีด้านววน.ของประเทศ3)การริเริ่มขับเคลื่อนและประสานการดําเนินงานโครงการวจิัย และนวัตกรรมของประเทศ 4) การจัดทํามาตรฐานและจริยธรรมการวิจัย 5) การส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้ เพื่อใช้ประโยชน์ 6) การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัยและนวัตกรรม และ 7) การให้ รางวัล ประกาศเกียรติคุณ หรือยกย่องบุคคลหรือหน่วยงานด้านการวิจัยและนวัตกรรม โดยรายละเอียดผล การประเมินการดําเนินงานในปัจจุบันตาม 7 ภารกิจ ในระยะที่ 1 (รอบ 6 เดือน) ปรากฎตามเอกสาร ประกอบระเบียบวาระที่ 3.1
5. แนวทางการประเมินในระยะที่ 2 เป็นการประเมินแบบ Developmental Evaluation มุ่งเน้นการพัฒนาเป็นเป้าหมายสําคัญ ซึ่งเหมาะกับการประเมิน วช. ที่อยู่ในระยะของการปฏิรูปและพัฒนา วิธีการทํางานให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนแปลงของระบบ อววน. โดยการออกแบบวิธีการทํางานร่วม ระหว่าง วช. กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทั้งนี้ควรเลือกภารกิจที่สําคัญที่สุดเพื่อทําการประเมินแบบ Developmental Evaluation เช่น การให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม การส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เพื่อใช้ ประโยชน์ การจัดทําระบบข้อมูล ววน. เป็นต้น และจัดทําข้อเสนอในการพัฒนารูปแบบและวิธีการทํางานที่ ได้รับการคาดหวังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
6. ประเด็นการวิเคราะห์กรณีศึกษากระบวนการดําเนินงานภารกิจการให้ทุนวิจัยและ นวัตกรรม และการส่งเสริมและถ่ายทอดความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ จะพิจารณาเชิงลึกถึงรูปแบบ (Modality) ของการบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมที่ วช. ได้รับการคาดหวังจากระบบ ววน. และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้ดําเนินการ โครงสร้างการดําเนินงานที่เอื้ออํานวยต่อการดําเนินการตาม Modality ดังกล่าว และกลไก การติดตาม ตรวจสอบ ประเมินผลย้อนกลับเพื่อการปรับปรุงการดําเนินงานอย่างต่อเนื่อง (PDCA) รวมถึง สถานะขององค์กรที่มีผลต่อการดําเนินการในภารกิจดังกล่าว
7. กรอบการประเมินในระยะที่ 2 Developmental Evaluation แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงที่ 1 การเตรียมการ (เมษายน – พฤษภาคม 2564) ทีมประเมินจะสื่อสารกับวช. ทั้งระดับผู้บริหารและระดับปฏิบัติการ เพื่อให้ทราบถึงแนวทางการประเมินแบบ Developmental Evaluation และวิธีการทํางานให้เกิดความร่วมมือและความไว้วางใจต่อกัน รวมถึงสัมภาษณ์ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ให้รับทราบประเด็นที่เป็นความคาดหวังและประเด็นที่เป็นข้อกังวล และนําไปสู่การพัฒนา Modality ของ การบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมของ วช.
ช่วงที่ 2 การดําเนินการ (พฤษภาคม – ตุลาคม 2564) ทีมประเมินจะกระทบ ความคิดและความคาดหวัง (Reconcile) กับผู้บริหารและบุคลากร วช. วิเคราะห์ช่องว่างของการพัฒนา (Gap) และตกลงร่วมกันถึงแนวทางในการปรับตัว ทดลองให้ วช. ปรับตัวตามที่ตกลงร่วมกัน รวมถึงติดตาม การดําเนินงานตาม Modality ใหม่ วิเคราะห์ความสามารถในการปรับตัวของ วช. และสรุปผล จัดทํา ข้อเสนอแนะสําหรับการเปลี่ยนแปลงระบบ ทิศทางการทํางานขององค์กรในระบบใหม่หลังการปฏิรูป
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะของที่ประชุม
1) การประเมินระบบ ววน.
• การปฏิรูประบบ ววน. จําเป็นต้องมีการประเมินเชิงระบบซึ่งเป็นภาพใหญ่ของการจัดสรรทุนวิจัยและนวัตกรรมในระบบ ววน. โดยต้องกําหนดเป้าหมาย และวิเคราะห์ศักยภาพและขอบเขต การให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม (Scope of Work) ของหน่วยบริหารและจัดการทุนในระบบ ววน. ที่ชัดเจน เช่น การให้ทุนครอบคลุมในทุกมิติ (Comprehensive) หรือการให้ทุนเฉพาะด้านที่เหมาะสมกับความเชี่ยวชาญ (Specialization) เพื่อให้เห็นความเชื่อมโยงการดําเนินงานระหว่างหน่วยงาน (Synchronization) กระบวนการบริหารจัดการทุนที่ไม่ซ้ําซ้อน (Administration Process) และนํามาซึ่งการปรับปรุงกลไก ขั้นตอนการดําเนินงาน ให้เกิดประสิทธิภาพ (Optimization) สูงสุดต่อระบบ ววน. ของประเทศ ทั้งนี้ สอวช. สกสว. หน่วยบริหารและจัดการทุน ควรมีการออกแบบภาพใหญ่ของระบบการจัดสรรทุนวิจัยและนวัตกรรม ร่วมกัน
• ควรประเมินหน่วยบริหารและจัดการทุนอีก 6 แห่งด้วย เพื่อให้เห็นประเด็นร่วม และประเด็นเฉพาะของหน่วยบริหารและจัดการทุน เพื่อสะท้อนการตอบโจทย์ระบบ ววน.
2) การประเมิน วช.
• กระบวนการประเมินในระยะที่ 2 การประเมินเชิงพัฒนา (DevelopmentalEvaluation) ได้พิจารณาคัดเลือกกรณีศึกษาการดําเนินงาน 2 กรณี ได้แก่ 1) แผนงานคนไทย 4.0 และ 2) โครงการประเทศไทยในอนาคต (Future Thailand) อย่างไรก็ตามอาจคัดเลือกแผนงานหรือโครงการ ขนาดใหญ่เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการประเมินผลเพิ่มเติมนอกเหนือจาก 2 กรณีศึกษาดังกล่าว ให้เห็นภาพ และวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบวิธีการและศักยภาพการบริหารและจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมระหว่าง การดําเนินงานร่วม วช. กับหน่วยงานภายนอก (Outsource) และส่วนที่ วช. ดําเนินการเองได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
• การประเมินเชิงพัฒนา (Developmental Evaluation) ควรให้ความสําคัญใน การตกลงร่วมกัน (Agreement) ระหว่าง วช. กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ถึงผลสําเร็จ (Achievement) และ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อกลุ่มเป้าหมาย (เช่น ภาคชุมชน ภาคการผลิต ภาคบริการ ภาคประชาสังคม) ซึ่งต้อง ร่วมกันกําหนดเป้าหมายความสําเร็จที่คาดหวังภายใต้กรอบระยะเวลา และนํามาซึ่งการกําหนดแผน การดําเนินงาน สมรรถนะหลักของหน่วยงาน (Core Competency) และการพัฒนาศักยภาพบุคลากร เพื่อปิด ช่องว่าง (Gap) ระหว่างสมรรถนะปัจจุบันกับสมรรถนะที่ต้องการในอนาคต เพื่อให้บรรลุผลสําเร็จตามที่คาดหวัง
• แนวทางการประเมินเพื่อพัฒนาองค์กร โดยใช้การประเมินแบบ Developmental Evaluation อาจเริ่มจากการตั้งเป้าหมายที่หน่วยงานจะส่งมอบ (Deliver) และพิจารณาว่า หน่วยงานจะดําเนินการอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งต้องอาศัยการปฎิสัมพันธ์และโน้มน้าวผู้มีส่วนได้ ส่วนเสีย (Cultivate Stakeholders) และบุคลากรในหน่วยงาน ทั้งนี้อาจศึกษารูปแบบและกลไก การ Cultivate Stakeholders เพิ่มเติม ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการสื่อสาร (Communication) และการบริหาร จัดการ (Management) เป็นส่วนสําคัญ ตัวอย่างเช่น การประเมินเชิงพัฒนาของโครงการประเมินเทคโนโลยี และนโยบายด้านสุขภาพ (Health Intervention and Technology Assessment Program – HITAP) จะ เริ่มจากการกําหนดเป้าหมายที่หน่วยงานจะส่งมอบ และ Cultivate Stakeholders และบุคลากรภายใน หน่วยงาน ผ่านกระบวนการจัดกลุ่ม (Clustering) การบริหารจัดการ และการสื่อสาร ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบที่ส่งผลต่อการปรับชุดความคิด (Mindset) ของผู้ปฏิบัติงานและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้
• การศึกษารูปแบบ (Modality) การบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรมที่หลากหลาย จะช่วยวิเคราะห์จํานวนบุคลากรให้เหมาะสมกับรูปแบบ (Modality) ของการบริหารและจัดการ ทุนวิจัยและนวัตกรรมที่ วช. ได้รับการคาดหวังจากระบบ ววน. และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ซึ่งการประเมินอาจใช้ รูปแบบการวิเคราะห์ต้นทุนค่าตอบแทนตามมาตรฐานของหน่วยงานระดับกรม หรือวิเคราะห์เปรียบเทียบกับ ลักษณะหรือมูลค่าโครงการ และนํามาเปรียบเทียบกับหน่วยบริหารและจัดการทุนอื่น เพื่อนําไปสู่การออกแบบ โครงสร้างบุคลากรที่เหมาะสมต่อการดําเนินการตาม Modality ดังกล่าว
• การประเมินภารกิจการให้ทุนวิจัยและนวัตกรรม และการส่งเสริมและถ่ายทอด ความรู้เพื่อใช้ประโยชน์ ควรคํานึงถึงความสามารถในการตอบสนองต่อผู้รับบริการ (User) ในแต่ละขั้นตอน ของกระบวนการบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม เช่น คุณภาพของระบบคัดกรองโครงการ ระยะเวลา การพิจารณาข้อเสนอโครงการ อัตราการปฏิเสธข้อเสนอโครงการ (Proposal Rejection Rate) การเบิกจ่าย งบประมาณ ความคุ้มค่าในการใช้จ่ายงบประมาณ ผลประโยชน์ตอบแทนจากการลงทุน (Return Value from Money) เป็นต้น
• การประเมินภารกิจการจัดทําระบบข้อมูล ววน. จําเป็นต้องพิจารณาระบบ ข้อมูลทั้ง 2 ประเภท ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ได้แก่ 1) ระบบข้อมูลที่ตอบสนอง (Interface) ต่อประชาคม วิจัย และ 2) ระบบข้อมูลที่ใช้สําหรับการบริหารจัดการภายในหน่วยงาน วช. (Operating System) เพื่อนําไปสู่การปรับปรุงหรือพัฒนาระบบข้อมูล ววน. ที่มีประสิทธิภาพ
• ทีมประเมินควรจัดทํา Template สําหรับชุดข้อมูลที่สนับสนุนตามกรอบการประเมินฯ เพื่อให้ วช. จัดเตรียมข้อมูลประกอบการประเมินได้ครบถ้วนและสมบูรณ์
มติที่ประชุม
เห็นชอบหลักเกณฑ์และตัวชี้วัดการประเมินประสิทธิภาพและผลการปฎิบัติราชการของ สํานักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) และมอบหมายให้ฝ่ายเลขานุการฯ นําข้อคิดเห็นและ ข้อเสนอแนะของที่ประชุมไปดําเนินการต่อไป
ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
ระเบียบวาระที่ 4 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
ประธานฯ ได้กําหนดให้มีการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปฯ ครั้งต่อไป ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 11.00 – 13.00 น.