(21 ตุลาคม 2568) ศาสตราจารย์กิตติคุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สภานโยบาย) ครั้งที่ 2/2568 โดยมี นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) รองประธานคนที่สอง พร้อมด้วย พลโทอดุลย์ บุญธรรมเจริญ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ศ. ดร.ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวง อว. และ ดร.สุรชัย สถิตคุณารัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) ในฐานะกรรมการและเลขานุการสภานโยบาย รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากกระทรวงที่เกี่ยวข้อง และผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมสภานโยบายฯ ได้มีมติในนโยบายที่สำคัญเพื่อขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อววน.) ของประเทศ




โดยได้เห็นชอบ “แนวทางการขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาล” ซึ่งสอดคล้องกับภารกิจเร่งด่วน 4 ด้าน ที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีได้กำหนดไว้ ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาความมั่นคง ปัญหาภัยธรรมชาติ และปัญหาภัยสังคม ซึ่ง ดร.สุรชัย ได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อน อววน. ดังกล่าวผ่านการใช้กลไกของหน่วยงานในระบบ อววน. โดยวางเป้าหมายการทำงานในระยะเร่งด่วน 4 ประเด็น ได้แก่ การยกระดับและพัฒนาทักษะ (Upskill & Reskill), การพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมใช้, การสนับสนุน SMEs, Startups และ Local Enterprises, และการใช้กลไก “พื้นที่นวัตกรรม” และขยายผลการบริหารจัดการน้ำ ผ่านการขับเคลื่อนที่สำคัญ เช่น กลไก Thailand Plus Package มาตรการพัฒนาบุคลากรทักษะในอุตสาหกรรมเป้าหมายภายใต้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitiveness Fund) การสร้างรายได้ให้ชุมชนผ่านการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม การยกระดับศักยภาพ SMEs/Startup การบริหารจัดการน้ำโดยใช้มหาวิทยาลัยในพื้นที่ และการวิจัยเพื่อความมั่นคงและการป้องกันประเทศ เป็นต้น

ผู้อำนวยการ สอวช. ยังได้เสนอแนวทางการขับเคลื่อนในประเด็นสำคัญตามนโยบายรัฐบาลในระยะ 2 ปี (ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 – 2570) โดยการใช้ศักยภาพ อววน. ในแต่ละด้าน โดยด้านการอุดมศึกษา เน้นการพัฒนาหลักสูตรที่ Reskill และ Upskill โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล สร้างโอกาสให้บัณฑิตมีรายได้สูงขึ้น สร้างโอกาสให้คนไทยทุกกลุ่มสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับอุดมศึกษา การปฏิรูปกฎหมายการศึกษาให้ทันสมัย และการส่งเสริมการสอนและการสร้างความตระหนักรู้ในหลักสูตรการศึกษาเกี่ยวกับการรับมือภัยพิบัติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในขณะที่ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) เน้นการส่งเสริม ววน. ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ และอุตสาหกรรม Future Mobility รวมถึงการส่งเสริมให้ภาคเกษตรกรรมของไทยเปลี่ยนไปสู่เกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือสำหรับเตือนภัยพิบัติที่มีประสิทธิภาพ การพัฒนาผู้ประกอบการ SMEs เข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานสีเขียว และการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ เป็นต้น

ที่ประชุมยังได้อนุมัติการจัดตั้ง กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม (วท.กห.) สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) ด้านความมั่นคง โดยมีเป้าหมายสำคัญเพื่อให้โจทย์วิจัยด้านความมั่นคงและการป้องกันประเทศตรงกับความต้องการของกองทัพซึ่งเป็นผู้ใช้งานจริง โดยมุ่งเน้นการบูรณาการงานวิจัยด้านความมั่นคงให้มีทิศทางและเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน และมีการบริหารจัดการแบบครบวงจร ซึ่งกระทรวงกลาโหมมีความพร้อมด้านบุคลากร สถานที่ทดสอบ และหน่วยงาน นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายในการลดการพึ่งพาการนำเข้าเทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการนำเข้าสูงถึงร้อยละ 98 ทั้งนี้ กรอบภารกิจของ วท.กห. จะครอบคลุมการดำเนินงานด้านความมั่นคงตั้งแต่ต้นน้ำ (การวิจัยพื้นฐาน) ไปจนถึงปลายน้ำ (การนำไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และสังคม) โดยรับผิดชอบโครงการวิจัยระดับสีเหลืองยุทธภัณฑ์/งานวิจัยด้านความมั่นคงที่ไม่มีชั้นความลับ และงานวิจัยด้านความมั่นคงที่เป็น Dual Use นอกจากนี้ วท.กห. ได้เสนอให้ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เป็นหน่วยงานที่ทำการวิจัยและสร้างนวัตกรรมแทน วท.กห. ภายหลังการเป็น PMU เพื่อให้การทำวิจัยเกิดความต่อเนื่องและไม่ขัดกับมาตราใน พ.ร.บ. การส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562

นอกจากนี้ สภานโยบายยังได้เห็นชอบการจัดตั้ง สำนักงานเร่งรัดการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถการแข่งขันและการพัฒนาพื้นที่ (องค์การมหาชน) หรือ รวพ. ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน อววน. โดย รวพ. ประกอบไปด้วย 1) หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถการแข่งขัน 2) หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการพัฒนาพื้นที่ 3) หน่วยบริหารจัดการทุนด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรมแห่งอนาคต ซึ่งทั้ง 3 หน่วยดังกล่าวเป็นหน่วยบริหารจัดการทุนที่ดำเนินการอยู่แล้วในปัจจุบัน จัดตั้งขึ้นตามมติสภานโยบาย โดยมีการดำเนินการในลักษณะแซนด์บ็อกซ์ภายใต้ร่มนิติบุคคลของ สอวช. และ 4) หน่วยบริหารจัดการทุนด้านการนำวิทยาการ เทคโนโลยีและศิลปกรรมที่เหมาะสมไปใช้ประโยชน์ ซึ่งเป็นหน่วยบริหารจัดการทุนที่เสนอเพิ่มเติมขึ้นใหม่ ภายใต้ รวพ. มีหน้าที่หลักในการขับเคลื่อนการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ตามเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติส่งเสริมการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2564

สำหรับแนวทางการดำเนินงานของ รวพ. มุ่งสร้างประโยชน์ต่อประเทศในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การกระตุ้นและเพิ่มการลงทุนวิจัยและนวัตกรรมจากภาครัฐและเอกชน รวมถึงการร่วมลงทุน เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทย และสร้างผลงานนวัตกรรมที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง รวพ. จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางเทคโนโลยีขั้นแนวหน้า และสร้างกลไกขับเคลื่อนชุดใหม่ (New Growth Engine) เพื่อรองรับอุตสาหกรรมอนาคตและการเติบโตในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต และลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่ โดยการเพิ่มศักยภาพของมหาวิทยาลัยในการใช้วิจัยและนวัตกรรมสร้างการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่และสร้างขีดความสามารถการบริหารจัดการตนเองของชุมชนท้องถิ่น การดำเนินงานจะขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value-chain) ของภาคส่วนสำคัญตามยุทธศาสตร์ของประเทศ และสร้างผลกระทบจากการบริหารจัดการทุนผ่านแผนงานวิจัยเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Funding) อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ

ทั้งนี้ สอวช. จะเร่งดำเนินการเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาจัดตั้ง รวพ. ซึ่งเป็นร่างกฎหมายที่คณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วเสร็จต่อคณะรัฐมนตรี และดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป
